วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การแต่ง กาย ยุค รัตนโกสินทร์ตอนปลาย

Silver Blue Crystal Andralok Earrings - 3mm
Oi! Red Coral Adjustable Flower Ring
Handmade sterling silver and Murano Glass S...
Lola Rose Small Polished Tumble Bracelet In...
TOC BEADZ Deep Red Thatching 8mm Glass Slid...
Urban Male Mens Sterling Silver Black CZ St...
Mens Titanium Magnetic Bracelet with Wooden...
Mr Strong Enamel Cufflinks
Black thin 13mm hand leather wristband cuff...
9ct Gold 5mm Stud Earrings
Chrysalis Sterling Silver Ladies Star Charm...
Silver, Onyx Leaf Shaped Pendant
TOC BEADZ Blue Waves 9mm Glass Slide-On and...
Vintage Cluster Leaf Earrings - Matching lo...
Silver Multi Colour Pearls 7.5" Bracelet
9ct Yellow Gold AMP336923 Ladies Cubic Zirc...
TOC BEADZ Yellow Glitter 8mm Glass Slide-On...
Silver P1461-CZ/CH96-41 41cm Clear CZ Cross...
Sterling Silver St.Christopher Pendant &amp...
Letter T - slide on/off charm for Pandora s...
Silver Ladies Oval & Round Turquoise T-...
Silver Plain Star and Heart Stud Earrings Set
Silver White Cubic Zirconia Flower Bracelet...
Stud Earrings | Silver Earrings | Solitaire...
The Stainless Steel Jewellery Shop - 7mm En...
The Stainless Steel Jewellery Shop - 7mm He...
Jules Body Jewellery-Belly Bars-Zip Belly B...
ยุครัตนโกสินทร์ตอนปลาย
สมัย รัฐ นิยมและหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒

ภาย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ วัฒนธรรมการแต่งกายของไทยมีลักษณะเด่นด้านการนิยมแบบตะวันตกเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงแรก (พ.ศ. ๒๔๘๑ -๒๔๘๗) มีนโยบายสำคัญในการสร้างชาติด้วยลัทธิชาตินิยม โดยได้มีการวางเป้าหมายปลูกฝังให้ประชาชนชาวไทยเป็นผู้มี วัธนธัมดี มีศิลธัมดี มีอนามัยดี มีการแต่งกายเรียบร้อย มีที่พักอาศัยดี และมีที่ทำมาหากินดี"
ด้านการแต่งกายรัฐได้วางระเบียบปฏิบัติ โดยเฉพาะ รัฐนิยมฉบับที่ ๑๐ ประกาศเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๔ มีใจความสำคัญคือ

เน้นการแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยเมื่อปรากฏตัวในที่ชุมนุม ชน หรือสาธารณชน และแยกแยะประเภทเครื่องแต่งกายที่ถือว่าเรียบร้อยสำหรับประชาชนชาวไทย โดยกำหนดการแต่งกายและทรงผมแบบใหม่ ขอให้สตรีทุกคนไว้ผมยาว เลิกใช้ผ้าโจงกระเบนเปลี่ยนเป็นนุ่งผ้าถุงแทน เลิกการใช้ผ้าผืนเดียวคาดอกหรือเปลือยกายท่อนบน ให้ใส่เสื้อแทน

ภาย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ วัฒนธรรมการแต่งกายของไทยมีลักษณะเด่นด้านการนิยมแบบตะวันตกเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงแรก (พ.ศ. ๒๔๘๑ -๒๔๘๗) มีนโยบายสำคัญในการสร้างชาติด้วยลัทธิชาตินิยม โดยได้มีการวางเป้าหมายปลูกฝังให้ประชาชนชาวไทยเป็นผู้มี วัธนธัมดี มีศิลธัมดี มีอนามัยดี มีการแต่งกายเรียบร้อย มีที่พักอาศัยดี และมีที่ทำมาหากินดี"
ด้านการแต่งกายรัฐได้วางระเบียบปฏิบัติ โดยเฉพาะ รัฐนิยมฉบับที่ ๑๐ ประกาศเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๔๘๔ มีใจความสำคัญคือ

เน้นการแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยเมื่อปรากฏตัวในที่ชุมนุม ชน หรือสาธารณชน และแยกแยะประเภทเครื่องแต่งกายที่ถือว่าเรียบร้อยสำหรับประชาชนชาวไทย โดยกำหนดการแต่งกายและทรงผมแบบใหม่ ขอให้สตรีทุกคนไว้ผมยาว เลิกใช้ผ้าโจงกระเบนเปลี่ยนเป็นนุ่งผ้าถุงแทน เลิกการใช้ผ้าผืนเดียวคาดอกหรือเปลือยกายท่อนบน ให้ใส่เสื้อแทน ชาย นั้นขอให้เลิกนุ่งกางเกงแพรสี ต่าง ๆ หรือนุ่งผ้าม่วง เปลี่ยนมาเป็นนุ่งกางเกงขายาวแทน กระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ วางระเบียบเครื่องแต่งกายของข้าราชการในเวลาทำงานปกติ และทั่วไปเพื่อให้เป็นแบบอย่างอันดี ในเวลาทำงานปกติข้าราชการหญิงต้องใส่เสื้อขาวนุ่งกระโปรงสีสุภาพ หรือผ้าถุง และสวมรองเท้าหุ้มส้น ถุงเท้าสั้นหรือยาวก็ได้ และต้องสวมหมวก สีของเครื่องแต่งกายนั้นถ้าเป็นงานกลางแจ้งควรใช้สีเทา ถ้าเป็นงานในร่มหรือเกี่ยวกับเครื่องจักร ควรใช้สีน้ำเงินเข้ม เป็นต้น


รัชกาลที่ 7 - ปัจจุบัน (พ.ศ. 2468-ปัจจุบัน)

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 การแต่งกายคล้ายชาวตะวันตกมากขึ้น ซิ่นที่นุ่งยาวเปลี่ยนเป็นผ้าถุงสำเร็จ กล่าวคือ เย็บผ้าถุงให้พอดีกับเอวโดยไม่ต้องคาดเข็มขัด สวมเสื้อหลวมไม่เข้ารูป ตัวยาว แขนสั้นหรือไม่มีแขนตกแต่งด้วยโบและระบาย เหมือนฝรั่ง เลิกสะพายแพรปัก ใส่สายสร้อยและตุ้มหู ยาวแบบต่าง ๆ สวมกำไล ส่วนผมปล่อยยาวแต่ไม่ประบ่า และ เริ่มนิยมดัดเป็นลอน ทั้งนี้เพราะคนไทยในช่วงนี้ได้มีโอกาสไปศึกษายังต่างประเทศมากขึ้น จึงนำเอาอารยธรรมการแต่งกายเข้ามาด้วย ประกอบกับภาพยนตร์ฝรั่งโดยเฉพาะภาพยนตร์อเมริกันกำลังเฟื่องฟูมากในสมัยต้นรัชกาลที่ 7 และได้เจริญขึ้นเป็นลำดับ จนสามารถมีอิทธิพลในด้านนำแฟชั่นมาสู่ประชาชนคนไทยด้วย การที่สตรีหันมานุ่งกระโปรงกันบ้างประปราย แต่นุ่งกันในเฉพาะบางพวกบางกลุ่มเท่านั้น เช่น ในวงสังคมชั้นสูง พวกข้าราชการหรือผู้ที่ชอบแต่งตามแฟชั่น

ในราวปี พ.ศ. 2474 สตรีไทยปฏิวัติ เครื่องแต่งกายให้ทัดเทียมกับชาวยุโรปอีก คือ จาก ถุงสำเร็จซึ่งปฏิวัติมาจากผ้าซิ่น ก็ได้เปลี่ยนเป็นกระโปรง 4 ตะเข็บ 6 ตะเข็บ มี ผู้เล่ากันว่าข้าราชการหญิงในกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบตัดใช้ก่อนคนอื่น ๆ แล้วหลังจากนั้นเครื่องแต่งกายของสตรีไทยก็ได้วิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงมาโดยลำดับ

ส่วนการแต่งกายของชายที่เป็นข้าราชการ ตลอดจนคนในสังคมชั้นสูงโดยทั่วไป ยังนิยม นุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สวมเสื้อราชปะแตน สวมถุงเท้า รองเท้า สวมหมวกสักหลาดมีปีกหรือหมวกกะโล่ ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายปกติสำหรับไปในงานพิธีหรืองานราชการโดยทั่วไป เมื่อเดินทางไปต่างประเทศจึงจะใส่เสื้อคอแบะ ผู้เนกไท นุ่งกางเกงแบบชาว ตะวันตก

ส่วนราษฎรทั่วไปยังคงนุ่งโจง กระเบนหรือสวมกางเกงแพร สวมเสื้อธรรมดา และไม่นิยม สวมรองเท้าอยู่ต่อไปตามเดิม

ภาย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รัฐบาลเห็น ว่าการนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สวมเสื้อราชปะแตนอันเป็น เครื่องแต่งกายตามปกติหรือในงานพิธีของข้าราชการและสุภาพบุรุษโดยทั่วไปไปนั้นล้าสมัย จึงประกาศให้นุ่งกางเกงขายาวแทน แต่ยังไม่เป็นบังคับทีเดียว ยังผ่อนผันให้นุ่งฟ้าม่วงได้บ้าง

จนปี พ.ศ. 2487 ได้ตราพระราช บัญญัติการ แต่งกายข้าราชการพลเรือน โดยให้เลิกนุ่ง ผ้าม่วงโจงกระเบนโดยเด็ดขาด กำหนดเครื่องแบบการแต่งกาย ข้าราชการให้เป็นไปตามแบบสากล

ราษฎร ทั่วไปเมื่อเห็นข้าราชการนุ่งกางเกงขายาวแทนผ้าม่วงก็ทำตามอย่างกัน ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งนิยมแต่งแบบสากลกันมาจน ปัจจุบัน ในระยะนี้ไม่นิยมสวมหมวก จนกระทั่งถูก บังคับให้สวมใน สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม เมื่อรัฐบาลชุดนี้หมดอำนาจ การบังคับให้สวมหมวกก็ล้มเลิกไปโดยปริยาย การแต่ง กายได้พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม (พ.ศ.2481-2487) ได้มุ่งส่งเสริมวัฒนธรรมอย่างขนานใหญ่ เป็นจุดของการสร้างชาติในด้านต่าง ๆ ได้มีการ เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีไทยมากมายหลายอย่าง โดยพยายามให้วัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างชาติ มีการออกพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกาและประกาศต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องการแต่งกายของชาวไทยหลายฉบับตลอดจน คำแนะนำในด้านการแต่งกายรวมทั้งการประกาศห้ามผู้แต่งกายไม่สมควรปรากฏตัวใน ที่สาธารณะ ดังเช่น ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยมฉบับที่ 10 เรื่อง การแต่งกาย ของประชาชนชาวไทย

แม้ ว่าจะมีการนุ่งกระโปรงกันบ้างประปราย แต่ส่วนมากก็ยังนิยมนุ่งโจงกระเบนกันอยู่ รัฐบาลจึง ได้วิงวอนให้สตรีไทยเปลี่ยนแปลงการแต่งกายให้สมกับเป็นอารยประเทศโดย ให้สตรีไทยทุกคนไว้ผมยาวตามประเพณีนิยมสมัยโบราณหรือตาม สมัยนิยมในขณะนั้น เลิกนุ่งผ้าโจงกระเบน และเลิกใช้ผ้าคาดอก หรือเปลือยกายท่อนบน ให้เปลี่ยน มาใช้ผ้าถุงอย่างสมัยโบราณหรือสมัยนิยมขณะนั้นและใส่เสื้อแทน ต่อมาได้ขอร้องให้สตรีไทยสวมหมวก นุ่งกระโปรงและสวมรองเท้า

การแต่งกายแบบสากลเป็นที่นิยมใน หมู่ข้าราชการอยู่แล้ว การนุ่งผ้าม่วงกำลังเสื่อม ความนิยม เพราะยุ่งยากสิ้นเปลืองและไม่สะดวก แต่ข้า ราชการ และประชาชนโดยทั่วไปยังคงนิยมนุ่งกางเกงแพรดอกสีต่าง ๆ ออกนอกบ้านอยู่ จึงได้ประกาศชี้แจงให้คำนึงถึง เกียรติของชาติ ไม่แต่งกายตามสบาย และชักชวนให้เลิก นุ่งกางเกงแพร โดยอ้างว่าเป็นวัฒนธรรมของจีนอีกด้วย รัฐบาล ได้พยายามชี้ให้ประชาชนเห็นว่าการแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อย จะมีส่วนช่วยรัฐบาลในการส่งสริม วัฒนธรรมและสร้างชาติ


___________________________________________________________________________________

ระยะ พ.ศ. ๒๕๐๐ - ๒๕๒๕

ในช่วง เวลานี้ได้มีวิวัฒนาการการแต่งกายแบบไทยที่สำคัญคือ การแต่งกายแบบไทยตามแนวพระราชนิยม คือ ชุดไทยพระราชนิยมสำหรับหญิง และชุดไทยพระราชทานสำหรับชาย ทั้งสองชุดนี้ได้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นชุดประจำชาติของไทย

การแต่งกายชุดไทยพระราชนิยม



สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวาระที่โดยตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป และ สหรัฐอเมริกา โดยทีทรงมีพระราชดำริว่าไทยเรายังไม่มีชุดแต่งกายปะจำชาติที่เป็นแบบแผน เหมือนชาติอื่น ๆ และการเสด็จประพาสครั้งนี้ก็เป็นราชการสำคัญ จึงโปรดฯ ให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค ได้หารือกับผู้รู้ทางประวัติศาสตร์ ค้นคว้าเกี่ยวกับเครื่องแต่งกายของไทยสมัยต่าง ๆ และโปรดให้คุณอุไร ลืออำรุง ช่างตัดฉลองพระองค์เลือกแบบต่าง ๆ มาดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสม จัดเป็นชุดไทยพระราชนิยมหลายชุด และกำหนดให้เลือกใช้ในวาระต่าง ๆ กัน คือ

ยุค ๒๕๒๕ - ๒๕๓๗ - ๒๕๔๔

หญิง ไทยในยุคนี้จะแต่งกายตามสมัยนิยมและกล้าที่จะแต่งชุดที่ขัดกับวัฒนธรรม ไทย เช่น นุ่งกระโปรงสั้นเหนือเข่าจนเห็นขาอ่อน (mini skirt ) ใส่เสื้อเปิดพุง หรือรัดรูป ฯลฯ บางแฟชั่นก็เป็นกระโปรงบานยาวกรอมเท้า ฯลฯ ตามแต่จะได้รับสื่อแฟชั่นจากทุกมุมโลก ซึ่งเข้าสู่สมัยเทคโนโลยีการสื่อสารไร้พรมแดน แฟชั่นการแต่งกายสมัยใหม่ระบาดออกไปสู่วัยรุ่นไทยทุกจังหวัดอย่างรวดเร็ว ผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะการแต่งกายเลียนแบบดารานักร้อง นักแสดงวัยรุ่น ค่านิยมของการแต่งกายเปลี่ยนแปลงไปตามอาชีพ ตามวัยและตามสภาวะแวดล้อม แฟชั่นกางเกงนับเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมในเกือบทุกวัยทุกอาชีพ การนุ่งกางเกงนับเป็นเรื่องปกติสำหรับหญิงไทย กางเกงผ้ายีนส์เข้ามามีบทบาทมากในกลุ่มวัยรุ่น

อาจกล่าวได้ว่าในช่วงนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามีรูปแบบ หรือไม่อย่างไร คงหมุนไปตามกระแสแฟชั่นของโลก


การเก็บรักษาและการใช้ ผ้าไทยอย่างถูกวิธี : โดย นายสุจริต บัวพิมพ์

เมืองไทยจัด อยู่ในภูมิภาคเขตร้อนชื้น มี ๓ ฤดู คือ ฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน อาชีพในอดีตของคนไทยคือ การประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำไร่ ทำสวน และเลี้ยงสัตว์ ว่างจากฤดูการทำไร่ ทำนา หญิงไทยก็จะทอผ้าหรือเย็บปักถักร้อย ตามแต่ละภูมิภาค ส่วนชายไทยก็อาจทำงานอื่น ๆ เช่น ตีเหล็กเพื่อทำมีด ขวาน จอบ เสียม จนมีคำกล่าวคล้องจองกันว่า หญิงทอผ้า ชายตีเหล็ก"
การ ทอผ้าไม่ได้ทำกันในทุกภูมิภาค ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการสืบเชื้อสาย และวัตถุดิบที่มีในท้องถิ่น เช่น ในภาคเหนือหรือภาคอีสาน ต้นหม่อนเจริญงอกงามดี ก็จะมีการเลี้ยงไหม ปลูกฝ้าย ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการทอผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายและมีการสืบเชื้อสายในการทอผ้าจาก ญาติพี่น้องชาวลาว ซึ่งมีดินแดนติดต่อกันอยู่ ส่วนการที่ใครถนัดที่จะทอไหม ทอฝ้าย ใครถนัดที่จะมัดหมี่ น้ำไหล ขิด หรือจกก็ขึ้นอยู่กับการสืบทอดต่าง ๆ กันจาก พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่สืบเชื้อสายอันเป็นมรดกทางภูมิปัญญา
ในภาคใต้ ก็มีบางจังหวัดที่มีการทอผ้า เช่น เกาะยอ จังหวัดสงขลา หรือผ้าไหมที่อำเภอพุมเรียง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่สืบเชื้อสายโดยชาวไทยอิสลามที่ยังคงยึดเป็นอาชีพปัจจุบันนี้




ที่มา


http://writer.dek-d.com/toshirou/writer/viewlongc.php?id=553680&chapter=7

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น